เมื่อมักก๊ะฮฺถูกรุกราน
เมื่อมักก๊ะฮฺถูกรุกราน
โดย อาจารย์บรรจง บินกาซัน
อับรอฮะเป็นแม่ทัพชาวอาฟริกันที่ถูกกษัตริย์นะญาชีย์แห่งอาณาจักรอักซุมส่งมาช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ถูกกดขี่ข่มเหงในแผ่นดินอาหรับโดยซูนูวาสผู้นับถือศาสนายูดาย หลังจากภารกิจเสร็จสิ้น เขาไม่ได้กลับไปยังอาฟริกาเพราะเขาได้กลายเป็นกษัตริย์แห่งเยเมนไปแล้ว
เมื่ออยู่ในเยเมนหลายปี อับรอฮะสังเกตเห็นว่าในเดือนหนึ่งของทุกปีจะมีกองคาราวานขนาดใหญ่เดินทางขึ้นไปทางเหนือและไปเป็นเวลานานกว่าจะกลับมา ด้วยความสงสัย อับรอฮะจึงถามคนท้องถิ่นที่เป็นคนรับใช้เขาว่ากองคาราวานเหล่านั้นไปไหนและไปทำอะไรกันทุกปี
อับรอฮะได้คำตอบว่ากองคาราวานเหล่านั้นเดินทางไปยังมักก๊ะฮฺเพื่อทำพิธีฮัจญ์ร่วมกับผู้คนในเผ่าต่างๆทั่วคาบสมุทรอาหรับ และพิธีฮัจญ์ได้ทำสืบต่อกันมาตั้งแต่ครั้งอับราฮัมสร้างก๊ะอฺบ๊ะฮฺขึ้นมาเมื่อหลายพันปีก่อน
เมื่อเขาถามต่อไปว่าพิธีฮัจญ์ทำกันอย่างไร เขาได้รับคำตอบว่าผู้คนที่ไปทำพิธีฮัจญ์จะไปเดินเวียนรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺและเชือดสัตว์พลีกันที่นั่น เสร็จพิธีฮัจญ์แล้ว ผู้คนก็จะแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าที่ตัวเองนำไปก่อนเดินทางกลับ
อับรอฮะรุกถามต่อว่าก๊ะอฺบ๊ะฮฺคืออะไร มีลักษณะอย่างไร เขาได้รับคำตอบว่าก๊ะอฺบ๊ะฮฺเป็นอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้าสร้างด้วยก้อนหินธรรมชาติที่ถูกนำมาก่อเป็นกำแพงสี่ด้าน ไม่มีเสา ไม่มีการตกแต่งใดๆ และผู้คนนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนกราบไหว้บูชามาตั้งไว้รอบๆ ทุกปี ผู้คนจะมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นั่นและผู้คนบางกลุ่มเปลือยกาย บางกลุ่มปรบมือ บางกลุ่มผิวปากในขณะเดินเวียนรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อับรอฮะจึงเกิดความคิดที่จะทำให้อาณาจักรของเขายิ่งใหญ่ขึ้นมาทันที หลังจากนั้น เขาได้สร้างวิหารขนาดใหญ่และสวยงามกว่าก๊ะอฺบ๊ะฮฺขึ้นมาหลังหนึ่งในเยเมน เมื่อสร้างเสร็จแล้ว เขาได้ส่งตัวแทนของเขาออกไปเรียกร้องเชิญชวนชาวอาหรับเผ่าต่างๆทั่วอาหรับให้มาทำฮัจญ์ที่วิหารแห่งใหม่ที่เขาสร้างขึ้นในเยเมน
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ยังไม่มีชาวอาหรับเดินทางมาทำฮัจญ์ที่เยเมนและพลเมืองของเขาที่เยเมนก็ยังคงไปทำฮัจญ์ที่มักก๊ะฮฺเหมือนเดิม อาจเป็นเพราะอับรอฮะไม่รู้ว่าพิธีฮัจญ์ต้องทำที่มักก๊ะฮฺเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เขาจึงคิดว่าก๊ะอฺบ๊ะฮฺคืออุปสรรคที่ขัดขวางผู้คนไม่ให้มาทำฮัจญ์ที่เยเมน ดังนั้น เขาจึงต้องทำลายก๊ะอฺบ๊ะฮฺที่เป็นอุปสรรคทิ้ง
อับรอฮะสั่งเตรียมกองทัพและมุ่งหน้าไปยังมักก๊ะฮฺเพื่อปฏิบัติภารกิจทำลายก๊ะอฺบ๊ะฮฺ กองทัพของเขานอกจากจะมีทหารชาวอาฟริกาที่มากับเขาจำนวนหนึ่งแล้ว ยังมีช้างอีกหลายตัวที่เขานำมาตั้งแต่ตอนที่ถูกส่งมาช่วยชาวคริสเตียนด้วย
ยิ่งกองทัพอับรอฮะเข้ามาใกล้มักก๊ะฮฺมากเท่าใด ชาวอาหรับยิ่งตื่นตระหนกตกใจและหวาดกลัวยิ่งขึ้นเท่านั้นเพราะชาวอาหรับไม่เคยเห็นช้างมาก่อน ดังนั้น อับดุลมุฏฏอลิบ หัวหน้าชาวเมืองมักก๊ะฮฺจึงสั่งให้ชาวเมืองหนีขึ้นไปหลบภัยคอยดูสถานการณ์อยู่บนภูเขารอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺ
เมื่ออับรอฮะมาถึงมักก๊ะฮฺและเห็นก๊ะอฺบ๊ะฮฺอยู่ตรงหน้า เขาได้สั่งควาญช้างให้ไสช้างตรงไปทำลายก๊ะอฺบ๊ะฮฺ แต่ช้างศึกไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของควาญช้างไม่ว่าจะทำกับมันอย่างไรก็ตามยกเว้นมันถูกบังคับให้หันไปทางอื่นที่ไม่ใช่ก๊ะอฺบ๊ะฮฺ
เมื่อช้างปฏิเสธ อับรอฮะได้สั่งให้ทหารนับหมื่นคนของเขาบุกเข้าไปทำลายก๊ะอฺบ๊ะฮฺ แต่ทันใดนั้น ชาวเมืองมักก๊ะฮฺได้เห็นฝูงนกขนาดมหึมาที่พวกไม่เคยเห็นมาก่อนบินโฉบผ่านก๊ะอฺบ๊ะฮฺและหย่อนเม็ดหินเล็กๆลงมาใส่กองทหารของอับรอฮะ
คัมภีร์กุรอานเล่าว่านกฝูงนี้มีชื่อว่า “อะบาบีล” และเมื่อหินที่นกคาบมาตกใส่ทหารคนใด เนื้อหนังของทหารคนนั้นจะมีสภาพเหมือนกับใบไม้ที่ถูกหนอนกัดกินและล้มตาย เมื่อเจอการโจมตีทางอากาศจากฝูงนก กองทัพของอับรอฮะจึงล่าถอยกลับไปโดยที่ชาวมักก๊ะฮฺไม่ต้องลงมือรบและก๊ะอฺบ๊ะฮฺรอดจากการถูกทำลาย ชาวมักก๊ะฮฺเรียกปีที่เกิดเหตุการณ์นี้ว่าปีช้าง
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านไปไม่ถึงปี อับดุลมุฏฏอลิบหัวหน้าชาวเมืองมักก๊ะฮฺก็ได้หลานชายที่ชื่อว่า “มุฮัมมัด” ที่ถูกส่งมาเป็นศาสนทูตคนสุดท้ายของพระเจ้าและผู้นำคัมภีร์กุรอานมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตสำหรับมนุษยชาติ